วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อมรวิวัฒน์ ภูษา


Pre_heat

1.Ph.diagram


(h8 → h6 ) เนื่องจากภาระความรอนซ้ําเปนภาระที่จําเปนเฉพาะกับการควบคุมความชื้นในชวงเวลาการทําความ เย็นตามปกติจึงไมรวมเขากับภาระการทําความรอน (หมายเหตุ) “Psychrometric chart” หรือเรียกวา “แผนภาพอากาศชื้น” เปนแผนภาพที่สรางความ สะดวกในการทําความเขาใจตอสภาพทางความรอนของอากาศโดยมีองคประกอบดังแสดงในแผนภูมิรูปที่ 2.28 และเนื่องจากเมื่อพิจารณาสภาพอากาศตาม “แผนภูมิ” 2 จุด สภาพการณของอากาศนั้นๆ ไมไดรับการกําหนด เปนพิเศษแตอยางใด บางครั้งจึงเรียกวา “Chart” อนึ่ง ในการคํานวณอุปกรณในการปรับอากาศนั้น จะใชแต “แผนภูมิ h-x” ซึ่งแกนจะแสดง “เอนทัลปจําเพาะ (h)” และ “ความชื้นสัมบูรณ (x)” โดย Psychrometric chart แสดงไวในรูปที่ 2.28(2) ตอนท 4 ี่ บทที่ 2 หลักการ/การอนุรักษพลงงานในระบบท ั าความเย ํ ็นและปรับอากาศ ตําราฝกอบรมผูรับผิดชอบดานพลงงาน ั (ผชพ) ดานความรอน 2-52 ภาระความรอนซ้ํานี้หากเปรียบเทียบกับรถยนตแลวจะเปรียบเสมือนสภาพการเหยียบคันเรงจนสุดแลว เหยียบเบรกพรอมก  ัน ซึ่งจะเกิดความสิ้นเปลืองพลังงานโดยสูญเปลาขึ้น ดังนั้น ประเด็นสําคัญในการอนุรักษพลังงาน ก็คือการกําหนดชวงความชื้นสัมพัทธภายในหองใหกวาง ที่สุดเทาที่จะทําได แผนภูมิไซโครเมตริกชารตจะแสดงคาตาง ๆ ดังนี้ ƒ อุณหภูมิกระเปาะแหง :วัดอุณหภูมิไดโดยใชเทอรโมมิเตอรแบบธรรมดา (เสนแนวนอนของชารต) ƒ อุณหภูมิกระเปาะเปยก : วัดอณหภ ุ ูมิไดโดยใชผาชุปน้ําคลุมที่กระเปาะ (เสนทแยงของชารต) ƒ อุณหภูมิของจดกล ุ ั่นตัว :คือคาของอุณหภูมิที่ทําใหไอน้ําเริ่มกลั่นตัวและยังแสดงคาปริมาณของ ไอน้ําในอากาศ ƒ ความชื้น : ™ ความชื้นสัมบูรณ : คือมวลของไอน้ําตอหนึ่งหนวยปริมาตรอากาศ (กรัม/ลบ.ม.) (ไมแสดง ในชารต) ™ ความชื้นจําเพาะ : คือ มวลของไอน้ําตอมวลของอากาศแหงหนึ่งหนวย (กรัม/กิโลกรัม) (เสนแนวตั้งทางขวามือของชารต) ™ ความชื้นสัมพัทธ : คือ อัตราสวนของความดันระหวางไอน้ําในอากาศ และไอน้ําที่จุด อิ่มตัวที่อุณหภูมิเดียวกัน (ตามเสนโคงของชารต) ƒ เอนธัลป (Enthalpy) : คือปริมาณพลังงานความรอนในอากาศ (ตามเสนโคง ของชารต) มี 2 องคประกอบคือ ™ ความรอนสัมผัส (Sensible Heat) - การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของกระเปาะแหงของอากาศ ที่ความชื้นคงที่ ™ ความรอนแฝง (Latent heat) –การเปลี่ยนแปลงปริมาณความชื้นในอากาศที่อุณหภูมิ กระเปาะแหงคงท






2.ไชโครเมตี้ร ชาร์ท




ความสำคัญของอากาศและการใช้งาน    เชื่อว่าทุกคนคงจะรู้จักอากาศ (Air) กันเป็นอย่างดี อากาศมีอยู่ทุก ๆ ที่เราทุกคนใช้อากาศในการหายใจ อากาศเป็นตัวช่วยในการติดไฟของเชื้อเพลิงในการหุงต้มหรือในเครื่องยนต์หรือเครื่องจักรต่าง ๆ ในงานด้านวิศวกรรมและการผลิต อากาศถูกนำมาใช้ประโยชน์ในกระบวนการต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานด้านนี้จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติ รายละเอียดตลอดจนธรรมชาติของอากาศซึ่งถ้าเราจะอธิบายกันแบบลอย ๆ นั้นก็ยากที่จะเข้าใจแผนภูมิ (Chart) หนึ่งที่จะนำมาอธิบายคุณสมบัติของอากาศได้ดีก็คือแผนภูมิไซโครเมตริก (Psychometric Chart) ซึ่งในแผนภูมิดังกล่าวจะรวบรวมความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ของอากาศให้ง่ายต่อการเข้าใจในรายละเอียด

คุณสมบัติสำคัญ ๆ ของอากาศ   ในงานทางวิศวกรรม เช่น งานปรับอากาศหรือทำความเย็นนั้นคุณสมบัติต่าง ๆ ของอากาศเป็นสิ่งที่มีผลกับสิ่งที่เราต้องการควบคุม เช่น อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์และอื่น ๆ บทความต่อไปนี้จะอธิบายถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ของอากาศเพื่อให้เป็นที่เข้าใจอย่างง่าย ๆ ดังนี้คือ

1. ความชื้น (Humidity)     เราอาจได้ยินคำเหล่านี้มาบ้างแล้ว เช่น อากาศชื้น (Moist Air) หรืออากาศแห้ง (Dry Air) แต่บางทีเราอาจไม่เข้าใจว่าความหมายที่แท้จริงของคำเหล่านี้ว่ามันคืออะไร เรารู้ว่าก่อนฝนตกอากาศจะร้อนอบอ้าวจนเรารู้สึกอึดอัด หรือในหน้าหนาวผิวหนังของเราจะแห้งจนแตกหรือผ้าที่เราตากไว้จะแห้งเร็วกว่าปกติทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิของอากาศต่ำ ทั้งหมดที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเบื้องต้นนั้นเกี่ยวกับความชื้นทั้งสิ้น 
   ถ้าจะพูดให้เข้าใจกันแบบง่าย ๆ ความชื้น (Moisture) คือ อัตราส่วนของไอน้ำที่ปะปนอยู่ในอากาศต่อจำนวนอากาศที่อ้างอิง อากาศที่มีไอน้ำปะปนอยู่มากเราเรียกว่าอากาศชื้นหรืออากาศเปียก เช่นลมระบายความร้อนที่ออกมาจากคูลลิ่งทาวเวอร์ (Cooling Townwer) หรืออากาศก่อนที่ฝนจะตกจะมีอัตราส่วนของไอน้ำที่ผสมอยู่ในอากาศมากจึงทำให้เรารู้สึกร้อนอบอ้าวและอึดอัดเพราะเมื่อปริมาณไอน้ำในอากาศมีมากจะส่งผลให้เหงื่อหรือน้ำที่ผิวหนังของเรานั้นระเหยตัวยากจึงทำให้เรารู้สึกร้อนอบอ้าว
     
   ดังที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ข้างต้นว่าความชื้นคือจำนวนไอน้ำที่ปนอยู่ในอากาศ จากรูปที่ 3 ถ้าเราเอาอากาศจำนวนหนึ่งมากำจัดความชื้นออกให้หมดเราจะเรียกอากาศที่ไม่มีไอน้ำเจือปนอยู่ว่า “อากาศแห้ง (Dry Air)” ดังรูปที่ 3ก จากนั้นถ้าเราค่อย ๆ ปล่อยไอน้ำข้าไปในอากาศดังกล่าวเรื่อย ๆ ดังรูปที่ 3ข เมื่ออากาศมีไอน้ำผสมอยู่เราเรียกอากาศนั้นว่า “อากาศชื้น” ซึ่งหมายถึงอากาศที่มีไอน้ำปะปนอยู่ ซึ่งก็เหมือนกับอากาศในบรรยากาศบนโลกของเรานั่นเอง ในตอนแรกที่เราเริ่มปล่อยไอน้ำเข้าไปผสมปะปนกับอากาศนั้นปริมาณไอน้ำในอากาศจะมีน้อย อากาศจะสามารถรองรับไอน้ำจำนวนดังกล่าวไว้ได้ แต่เมื่อปริมาณไอน้ำเพิ่มไปถึงจุดหนึ่งที่อากาศไม่สามารถรองรับปริมาณไอน้ำดังกล่าวไว้ได้ ไอน้ำส่วนที่เกินก็จะเริ่มกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำ ซึ่งเราจะเรียกว่า “จุดอิ่มตัวของไอน้ำในอากาศ” หรือเรียกอากาศที่จุดนี้ว่า “อากาศอิ่มตัว (Saturated Air)” ซึ่งก็คือสภาวะที่อากาศไม่สามารถที่จะดูดซับไอน้ำไว้ในตัวมันได้อีกแล้ว ในแผนภูมิไซโครเมตริกเส้นอากาศอิ่มตัว (Saturated Air Line) คือเส้นโค้งที่อยู่ทางด้านซ้ายของแผนภูมิไซโครเมตริก ดังรูปที่ 4




  1.1 อัตราส่วนความชื้น (Humidity Ratio,  ) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าค่าความชื้นจำเพาะ (Specific Humidity) คืออัตราส่วนระหว่างมวลของไอน้ำในอากาศ (mv) กับมวลของอากาศแห้ง(ma) ที่ปริมาตรอากาศที่พิจารณา ดังสมการที่ 1

เช่น สภาวะหนึ่งมีไอน้ำอยู่ในอากาศ 8 กรัมต่อปริมาตรอากาศ 1 m3 โดยที่น้ำหนักของอากาศแห้ง (ไม่รวมน้ำหนักไอน้ำ) ตรงจุดนั้นเท่ากับ 0.88 kg/m3 ดังนั้นอัตราส่วนความชื้นที่สภาวะดังกล่าวจะเท่ากับ 1/0.88= 9.1 gvapour/ kgDry Air
ในแผนภูมิไซโครเมตริกเส้นอัตราส่วนความชื้น (Humidity Ratio Line) เป็นเส้นที่ลากจากเส้นไอน้ำอิ่มตัว (Saturated Vapor) จากด้านซ้ายมือไปยังด้านขวามือดังรูปที่ 4 โดยที่ค่าอัตราส่วนความชื้นด้านล่างจะน้อยเพราะอุณหภูมิต่ำส่วนที่อุณหภูมิสูงอัตราส่วนความชื้นก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งอัตราส่วนความชื้นที่ปรากฏในแผนภูมิไซโครเมตริกจะเป็นอัตราส่วนมวลของไอน้ำในอากาศเป็นกรัมต่อมวลอากาศแห้งเป็นกิโลกรัม (gvapor/kgDry Air

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อมรวิวัฒน์ ภูษา


อุปรณ์ควบคุมในระบบทางกล


อุปรณ์ควบคุมในระบบทางกล



1.ตัวควบคุมสารทำความเย็น (Refrigerant Control)การที่จะให้เกิดความเย็นขึ้นได้ จะต้องมีอุปกรณ์ หรือตัวควบคุม ปริมาณสารทำความเย็น ที่จะฉีดเข้าในอีแวปปอเรเตอร์ ซึ่งสามารถทำ งานได้โดยอัตโนมัติ เพื่อจะทำให้สารทำความเย็นเหลวที่มีความดันสูง กลายเป็นของเหลวที่มีความดันต่ำ พร้อมที่จะมีปริมาณเพียงพอ ที่จะ รักษาความเย็นให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด คือควบคุมให้ปริมาณสารทำ ความเย็น ให้ระเหยหมดพอดีในอีแวปปอเรเตอร์ ตัวควบคุมสารทำความเย็น ที่ใช้ใน เครื่องปรับอากาศในรถยนต์ ส่วนมากจะใช้เทอร์โมสแตติคเอ็กซ์แปนชั่นวาล์ว(Thermostatic Expansion Valve)




2.การป้องกันความดันสูง/ต่ำวาล์วบริการ (service valves) คืออุปกรณ์ที่ติดตั้งในระบบทำความเย็น ประกอบด้วยวาล์วบริการด้านความดันต่ำ (low side หรือ suction service valve) ติดตั้งอยู่ด้านความดันต่ำของระบบ เช่น ติดตั้งที่ทางเข้าคอมเพรสเซอร์ หรือติดตั้งอยู่กับท่อสารทำความเย็นด้านดูดที่ออกจากเครื่องระเหย และวาล์วบริการด้านความดันสูง (high side หรือ dischange service valve) ซึ่งจะติดตั้งอยู่ด้านความดันสูงของระบบ เช่น ติดตั้งที่ทางออกของคอมเพรสเซอร์ หรือติดตั้งอยู่กับท่อสารทำความเย็นเหลวที่ออกจากคอมเพรสเวอร์ ในการปฏิบัติงานเพื่อการบริการและตรวจวิเคราะห์ปัญหาในระบบทำความเย็น จะใช้เกจแมนิโฟลด์ต่อเข้ากับวาล์วบริการของระบบทำความเย็น




3.การป้องกันน้ำมันเข้าระบบการป้องกันน้ำมันเข้าระบบ สาเหตุที่ต้องทำท่อ Trap ในกรณีที่วางคอยล์ร้อนในตำแหน่งสูงเหนือคอยล์เย็น เนื่องจากอธิบายง่ายๆตามกฎของธรรมชาติ ที่กล่าวว่า "ของเหลวทุกชนิดจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ" ในระบบเครื่องทำความเย็นก็เช่นกัน น้ำมันที่อยู่ในคอมเพรสเซอร์อยู่ในสถานะของเหลว ซึ่งน้ำมันในคอมเพรสเซอร์ มีหน้าที่ในการระบายความร้อนให้คอมเพรสเซอร์ และ หล่อลื่นระบบทางกลหรือกลไกลในคอมเพรสเซอร์ ในกรณีที่เครื่องทำงาน การดูดอัดสารทำความเย็นของคอมเพรสเซอร์ จะอัดน้ำมันที่อยู่ในตัวออกมาพร้อมสารทำความเย็นมาทางท่อทางอัด และดูดกลับเข้าไปในคอมเพรสเซอร์ทางท่อทางดูด ในการติดตั้งโดยวิธีให้ชุดคอยล์ร้อนวางในตำแหน่งต่ำกว่าคอยล์เย็น น้ำมันหล่อลื่น ย่อมไหลกลับสู่คอมเพรสเซอร์ตามแรงดึงดูดอย่างง่ายดาย แต่หากการติดตั้งที่ต้องวางคอยล์ร้อนให้สูงเหนือคอยล์เย็น ถ้าหากไม่มีการทำท่อดักน้ำมันไว้น้ำมันก็จะไหลลงได้เช่นกันเพราะในระบบท่อนั้นเป็นสูญญากาศ แต่การไหลกลับจะไหลกลับไม่ทันต่อการระบายความร้อน เนื่องจากน้ำมันมีความหนืดและน้ำหนักมากกว่าสารทำความเย็นที่มีสถานะเป็นแก๊สในท่อทางดูด ทำให้การระบายความร้อนทำได้ไม่ดี มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ร้อนจนถึงร้อนจัด





4.การป้องกันน้ำแข็งอุตตันในระบบ น้ำยาป้องกันและกำจัด ตะกรัน/สนิม ในระบบ ชิลเลอร์ NEW CLEAN 103 ขนาดบรรจุ 1 แกลอน = 20 ลิตร เป็นเคมีภัณฑ์ชนิดน้ำ ใช้สำหรับเติมในระบบชิลเลอร์ของคูลลิ่ง ทาวเวอร์ ทั้งแบบทรงกลม และแบบทรงสี่เหลี่ยม เพื่อรักษาคุณภาพของน้ำในระบบให้อยู่ในค่าปกติ NC. 103 เป็นเคมีภัณฑ์รุ่นใหม่ล่าสุด มีคุณสมบัติพิเศษต่างจากเคมีภัณฑ์ชนิดเดียวกันอื่นๆ ในท้องตลาดทั่วไป คือ NC. 103 เป็นเคมีภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้น เพื่อทำปฏิกิริยากับตะกรันและสนิม ที่ปนเปื้อนในน้ำเย็น ในระบบชิลเลอร์ เท่านั้น โดยจะไม่ทำปฏิกิริยากับ โลหะหนัก/ท่อต่างๆ ในระบบชิลเลอร์